วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

กฎหมายอิสลาม

นัยของหลักนิติธรรมอิสลาม (อัชชะรีอะฮฺ อัลอิสลามี่ยะฮฺ

และกฎหมายอิสลาม (อัลฟิกฮุ้ล อิสลามีย์)


     

                หลักนิติธรรมอิสลาม (อัชชะรีอะฮฺ อัลอิสลามียะฮฺ) หมายถึง สิ่งซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ได้ทรงบัญญัติสิ่งนั้นเอาไว้แก่มวลบ่าวของพระองค์จากบรรดาหลักการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบรรดาหลักการที่เกี่ยวเนื่องกับหลักการยึดมั่น (อัลอะกีดะฮฺ) หรือหลักจริยธรรม (อัลอัคลาก) หรือการจัดระเบียบสิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ทั้งวจีกรรม, กายกรรมและการทำธุรกรรมทั้งหลาย (ดร.ซูฟีย์ หะซัน อบูฏอลิบ ; การบังคับใช้กฎหมายอิสลามในกลุ่มประเทศอาหรับ, หน้าที่ 15 พิมพ์ครั้งที่ 4 (ค.ศ.1995) สำนักพิมพ์อันนะฮฺเฎาะฮฺ อัลอะรอบียะฮฺ, ไคโร, อียิปต์)


         กฎหมายอิสลาม (อัลฟิกฮุล อิสลามีย์) หมายถึง ประมวลหลักการปฏิบัติต่าง ๆ ตามศาสนบัญญัติซึ่งจัดระเบียบพฤติกรรม วจีกรรมและการทำธุรกรรมทั้งหลายของบรรดาผู้ที่เข้าอยู่ในเกณฑ์บังคับของศาสนา โดยมีที่มาจากคัมภีร์อัลกุรฺอานและสุนนะฮฺตลอดจนบรรดาหลักฐานทางศาสนบัญญัติอื่น ๆ (อ้างแล้ว หน้า 16)
         นัยของหลักนิติธรรมอิสลามจึงมีความครอบคลุมและกว้างกว่านัยของกฎหมายอิสลาม เนื่องจากหลักนิติธรรมอิสลามจะประมวลถึงหลักการยึดมั่น (อัลอะกีดะฮฺ) และหลักจริยธรรม (อัลอัคลาก) ตลอดจนประมวลกฎหมายอิสลามเอาไว้ด้วย จึงกล่าวได้ว่า กฎหมายอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมอิสลามโดยรวม

         กฎหมายอิสลาม แบ่งออกเป็น หมวดใหญ่ ๆ คือ
         1. หมวดการประกอบศาสนกิจ (อัลอิบาดาตฺ) ซึ่งจะกล่าวถึงบรรดาหลักการเฉพาะที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคลกับพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي)  อาทิเช่น การละหมาด, การจ่ายซะกาต, การถือศีลอด และการประกอบพิธีฮัจญ์ เป็นต้น

            2. หมวดปฏิสัมพันธ์ (อัลมุอามะลาตฺ) อันหมายถึงบรรดาหลักการเฉพาะที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน อาทิเช่น การซื้อขาย, การทำธุรกรรมในรูปแบบต่าง ๆ การสมรส และการตัดสินข้อพิพาท เป็นต้น
        ในส่วนของนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัชชาฟิอีย์ ได้แบ่งหมวดของกฎหมายอิสลามออกเป็น 4 หมวด คือ
  1. หมวดการประกอบศาสนกิจ (อัลอิบาดาตฺ)
  2. หมวดปฏิสัมพันธ์ (อัลมุอามะลาตฺ)
  3. หมวดลักษณะอาญา (อัลอุกูบาตฺ)
  4. หมวดการสมรส (อัซซะวาจฺญ์) หรือกฎหมายครอบครัว (อะฮฺกาม – อัลอุสเราะฮฺ)

          * จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า ประเภทหมวดของกฎหมายอิสลามมีความครอบคลุมถึงเรื่องราวทางศาสนาและทางโลก ในขณะที่หลักนิติธรรมอิสลามตั้งอยู่บนหลักพื้นฐานของการจัดระเบียบที่ครอบคลุมกิจกรรมทุกมิติของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางจิตวิญญาณ, จริยธรรม และวัตถุ

         ที่มาของกฎหมายอิสลาม
         บรรดาที่มาของกฎหมายอิสลามถูกเรียกว่า บรรดาหลักฐานทางศาสนบัญญัติ (อัลอะดิลละฮฺ อัชชัรฺอียะฮฺ) หรือ บรรดาหลักมูลฐาน (อัลอุซู้ล) ซึ่งนักกฎหมายอิสลามส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่ามี 4 ประการ คือ
         1. อัลกุรฺอาน (อัลกิตาบ)
         2. อัล-หะดีษ (อัส-สุนนะฮฺ)
         3. อัล-อิจญ์มาอฺ (เรียกทั้ง 3 ประการนี้ว่า บรรดาหลักฐานอันเป็นตัวบทที่มีการรายงานถ่ายทอด (อัลอะดิลละฮฺ อันนักลียะฮฺ) และ
         4. อัล-กิยาส (ประการที่ 4 นี้ถูกจัดอยู่ในหมวดบรรดาหลักฐานที่ใช้การวิเคราะห์ทางสติปัญญา (อัลอะดิลละฮฺ อัลอักลียะฮฺ) ซึ่งนักกฎหมายอิสลามได้ผนวกประเภทของบรรดาหลักฐานในหมวดนี้เอาไว้แตกต่างกัน อาทิเช่น อัลอิสติฮฺซาน, อัลอิสติสหาบฺ, อัลอุรฟ์ และอัลมะซอลิฮฺ อัลมุรซะละฮฺ เป็นต้น)

         นักวิชาการเรียกที่มาของกฎหมายอิสลามทั้ง 4 ประการนี้ว่า บรรดาหลักฐานในขั้นปฐมภูมิ (อัลอะดิลละฮฺ อัลอะซาซียะฮฺ) และเรียกประเภทอื่น ๆ ที่ถูกจัดอยู่ในหมวดของบรรดาหลักฐานที่ใช้การวิเคราะห์ทางสติปัญญาว่า บรรดาหลักฐานสืบเนื่อง (อัลอะดิลละฮฺ อัตตะบะอียะฮฺ) หรือ บรรดาหลักฐานในขั้นทุติยภูมินั่นเอง

         อัลกุรฺอาน (กิตาบุลลอฮฺ) คือ พระดำรัสของอัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي)   ที่ได้ประทานลงมาให้ท่านนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) ด้วยภาษาอาหรับเพื่อเป็นปาฏิหาริย์ด้วยบทที่สั้นที่สุด พระดำรัสนั้นถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์ซึ่งถูกถ่ายทอดแบบมุตะวาติรและเป็นอิบาดะฮฺด้วยการอ่าน เริ่มต้นด้วยบทอัลฟาติหะฮฺ และจบลงด้วยบทอัน-นาส (อัล-อามิดีย์ ; อัลอิฮฺกาม 1/82) อัลกุรฺอานมี 114 บท (สูเราะฮฺ) และแบ่งออกเป็น 30 ภาค (ญุซอฺ) ถือเป็นแม่บทของกฎหมายอิสลาม และเป็นที่มาของบทบัญญัติและข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้ คือ
         1. บรรดาหลักความเชื่อ
         2. บรรดาหลักจริยธรรม
         3. บรรดาหลักปฏิบัติซึ่งครอบคลุมทั้งหมวดการประกอบศาสนกิจ (อิบาดาตฺ) และหมวดปฏิสัมพันธ์ (มุอามะลาตฺ) โดยหมวดปฏิสัมพันธ์ (มุอามะลาต) นี้แบ่งออกเป็น หลักการครองเรือน, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์, กฎหมายลักษณะอาญา, กฎหมายธรรมนูญการปกครอง, หลักวิธีพิจารณาคดีความทั้งแพ่งและอาญา หลักวิเทโศบายหรือกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักเศรษฐศาสตร์และการคลัง เป็นต้น (ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซซุฮัยลีย์ ; อุศูลุลฟิกฮฺ อัลอิสลามีย์ เล่มที่ 1 หน้า 432-439)

         อัล-หะดีษ (อัส-สุนนะฮฺ) หมายถึง คำพูด การกระทำ และการยอมรับของท่านนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) ซึ่งเป็นคำสอนของท่านที่ได้มีการจดจำ บันทึก ถ่ายทอดโดยผู้ใกล้ชิดและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา อัล-หะดีษเป็นแม่บทของกฎหมายอิสลามในลำดับที่ 2 รองจากอัล-กุรอาน
         อนึ่งนักกฎหมายอิสลามมักเรียกที่มาของกฎหมายอิสลามในลำดับที่ 2 นี้ว่า อัส-สุนนะฮฺ เนื่องจากมีนัยกว้างและครอบคลุมมากกว่าคำว่า อัล-หะดีษ โดยแบ่งประเภทของอัส-สุนนะฮฺ ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
         1. อัส-สุนนะฮฺที่เป็นคำพูด คือ บรรดาอัล-หะดีษที่ท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) ได้กล่าวเอาไว้ในโอกาสและเป้าหมายต่าง ๆ อาทิเช่น หะดีษที่ว่า : “…..إنَّمَاالأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ” (อันที่จริงการปฏิบัติทั้งหลายขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา” เป็นต้น
         2. อัส-สุนนะฮฺที่เป็นการกระทำ คือบรรดาการกระทำที่ท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) ได้ปฏิบัติเอาไว้ อาทิเช่น การปฏิบัติละหมาด 5 เวลา, การประกอบพิธีฮัจญ์, การตัดสินคดีความโดยใช้พยานและการสาบาน เป็นต้น
         3. อัส-สุนนะฮฺที่เป็นการรับรอง คือ การที่ท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) นิ่งเงียบจากการปฏิเสธหรือคัดค้านคำพูดหรือการกระทำที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) หรือเกิดขึ้นในยุคสมัยของท่านและท่านรับรู้ถึงคำพูดหรือการกระทำนั้นโดยท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) เห็นด้วยหรือแสดงความยินดีหรือถือว่าคำพูดหรือการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นต้น (อุศูลุลฟิกฮฺ อัลอิสลามีย์ เล่มที่ 1 หน้า 450)

          ในส่วนของอัส-สุนนะฮฺที่เป็นการกระทำของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) นั้นนักวิชาการแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
         1. การกระทำต่าง ๆ อันเป็นอัธยาศัยของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) อาทิเช่น การยืน, การนั่ง, การรับประทานและการดื่ม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีข้อขัดแย้งว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติสำหรับท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) และสำหรับประชาชาติของท่าน แต่ไม่ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติในทัศนะของปวงปราชญ์
         2. การกระทำต่าง ๆ ซึ่งมีการยืนยันว่าเป็นกรณีเฉพาะของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) เท่านั้น อาทิเช่น การถือศีลอดติดต่อกัน การอนุญาตให้มีภรรยาได้มากกว่า 4 คนในคราวเดียวกัน เป็นต้น การกระทำต่าง ๆ ชนิดนี้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) และไม่ต้องถือตาม
         3. การกระทำต่าง ๆ ที่นอกเหนือจาก 2 ประการแรก ซึ่งมีเป้าหมายในการวางข้อบัญญัติทางศาสนา การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามโดยมีลักษณะแตกต่างกันไปว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือส่งเสริมหรืออนุญาต เป็นต้น (อ้างแล้ว เล่มที่ 1 หน้า 478)

         อัล-อิจญ์มาอฺ หมายถึง การเห็นพ้องกันของบรรดานักปราชญ์ทางศาสนา (มุจญ์ตะฮิด) จากประชาชาติของท่านนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) ในข้อบัญญัติทางศาสนาภายหลังการเสียชีวิตของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) ในยุคสมัยหนึ่งจากบรรดายุคสมัยต่าง ๆ (อ้างแล้ว เล่มที่ 1 หน้า 490)
         อัล-อิจญ์มาอฺ มี 2 ชนิดคือ
         1. การเห็นพ้องโดยชัดเจน (อิจญ์มาอฺ-ซ่อรีฮฺ) คือ การที่บรรดานักปราชญ์ทางศาสนามีทัศนะความเห็นทั้งคำพูดและการกระทำพ้องกันต่อข้อชี้ขาดในประเด็นข้อปัญหาหนึ่งที่เจาะจงแน่นอน อาทิเช่น มีการร่วมชุมนุมของบรรดานักปราชญ์ในสถานที่แห่งหนึ่ง นักปราชญ์แต่ละคนได้นำเสนอความเห็นของตนอย่างชัดเจนในข้อปัญหานั้น ๆ และทัศนะของทุกคนก็พ้องกันต่อข้อชี้ขาดของปัญหานั้น หรือการที่มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งตอบปัญหาศาสนาเอาไว้ด้วยทัศนะหนึ่ง แล้วปรากฏว่าการตอบปัญหาศาสนาจากนักปราชญ์ผู้อื่นพ้องตรงกันในข้อชี้ขาดนั้น ปวงปราชญ์ถือว่า อัล-อิจญ์มาอฺชนิดนี้เป็นหลักฐานทางศาสนา
         2. การเห็นพ้องโดยนิ่งเงียบ (อิจมาอฺ-สุกูตีย์) คือ การที่นักปราชญ์ทางศาสนาบางท่านในยุคสมัยหนึ่งได้กล่าวคำพูดเอาไว้ในประเด็นข้อปัญหาหนึ่ง และนักปราชญ์ผู้อื่นที่อยู่ร่วมสมัยนิ่งเงียบหลังจากที่รับรู้ถึงคำพูดนี้โดยไม่มีการปฏิเสธหรือคัดค้าน อัล-อิจญ์มาอฺชนิดนี้นักนิติศาสตร์มีความเห็นต่างกันในการถือเป็นหลักฐานทางศาสนา (อ้างแล้ว เล่มที่ 1 หน้า 552)

        อัล-กิยาส หมายถึง การนำข้อปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาไปเปรียบเทียบกับข้อปัญหาที่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาเอาไว้แล้ว เนื่องจากทั้ง 2 ข้อปัญหานั้นมีเหตุผลในข้อชี้ขาดร่วมกัน (มิรอาตุ้ลอุศูล 2/275)
         องค์ประกอบหลักของอัล-กิยาสมี 4 ประการคือ
         (1) หลักมูลฐาน (อัล-อัศลุ้) หมายถึง ตำแหน่งของข้อชี้ขาดซึ่งได้รับการยืนยันด้วยตัวบทหรืออัล-อิจญ์มาอฺ หรือหมายถึง ตัวบทที่บ่งชี้ถึงข้อชี้ขาดนั้น
         (2) ข้อปลีกย่อย (อัล-ฟัรอุ้) คือตำแหน่งที่ไม่มีตัวบทหรืออิจญ์มาอฺระบุข้อชี้ขาดเอาไว้
         (3) คุณลักษณะร่วมกันระหว่างหลักมูลฐาน (อัล-อัศลุ้) และข้อปลีกย่อย (อัลฟัรอุ้) คือเหตุผล (อัล-อิลละฮฺ)
         (4) ข้อชี้ขาดของหลักมูลฐาน (ฮุกมุ้-อัลอิศฺล์)

ตัวอย่าง
ข้อชี้ขาดของไวน์คือเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) เนื่องจากข้อชี้ขาดของไวน์ไม่มีตัวบทระบุชี้ชัดเอาไว้ ไวน์จึงเป็นข้อปลีกย่อย (อัล-ฟัรอุ้) ในขณะที่สุรามีตัวบทบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) สุราจึงเป็นหลักมูลฐาน (อัล-อัศลุ้) เหตุผลที่สุราเป็นที่ต้องห้ามก็คือการทำให้มึนเมา, การทำให้มึนเมานี้จึงถือเป็นเหตุผล (อัล-อิลละฮฺ) อันเป็นคุณลักษณะร่วมกันระหว่างสุราและไวน์ จึงได้ข้อชี้ขาดว่า ไวน์เป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) ตามข้อชี้ขาดของสุรานั่นเอง ซึ่งข้อชี้ขาดนี้เกิดจากการใช้หลักอัลกิยาส

หลักฐานที่บ่งชี้ว่า ที่มาทั้ง 4 ประการของกฎหมายอิสลามเป็นหลักฐานทางศาสนาคือ  หะดีษที่มีรายงานมาว่า “ท่านรสูลฯได้กล่าวแก่มุอาซ บุตรญะบัล ขณะที่จะส่งเขาไปยังเมืองยะมันว่า : หากมีคดีความเกิดขึ้นท่านจะตัดสินอย่างไร? มุอาซตอบว่า : “ฉันจะตัดสินด้วยคัมภีร์ของอัลลอฮฺ” ท่านรสูลฯ กล่าวว่า : หากท่านไม่พบ (ข้อชี้ขาด) ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ท่านจะตัดสินอย่างไร? มุอาซตอบว่า : “ฉันจะตัดสินด้วยสุนนะฮฺของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ” ท่านรสูลฯ กล่าวว่า “หากท่านไม่พบในสุนนะฮฺของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺฯ ท่านจะตัดสินอย่างไร? มุอาซตอบว่า : “ฉันจะวินิจฉัยด้วยความเห็นของฉันโดยฉันจะไม่บกพร่องเลย” ท่านรสูลฯได้จับอกของท่านมุอาซแล้วกล่าวว่า : “การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิแด่อัลลอฮฺ พระผู้ทรงเอื้ออำนวยให้ทูตของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺมีความคิดสอดคล้องกับสิ่งที่ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺพึงพอใจ” (รายงานโดยอะฮฺหมัด, อบูดาวูด, อัตติรมีซีย์, อิบนุอะดีย์, อัฏฏอบรอนีย์, อัดดารีมีย์และอัลบัยฮะกีย์เป็นหะดีษมุรสัล)


         ความเป็นมาและพัฒนาการของกฎหมายอิสลาม
         นักวิชาการได้แบ่งช่วงเวลาที่กฎหมายอิสลามได้มีการเปลี่ยนผ่านและพัฒนาการออกเป็น 4 ช่วงเวลาด้วยกัน ดังนี้
        (1) ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น ซึ่งครอบคลุมยุคสมัยของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) โดยเริ่มต้นนับแต่การประกาศศาสนาอิสลาม (ค.ศ.610) และสิ้นสุดลงด้วยการเสียชีวิตของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) (ฮ.ศ.11/ค.ศ.636)
        ในช่วงเวลาดังกล่าว สาส์นแห่งอิสลามมิได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการชี้นำทางจิตวิญญาณ, จริยธรรมและการประกอบศาสนกิจเท่านั้นแต่ยังได้จัดระเบียบกิจกรรมของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตในโลกนี้อีกด้วย  ด้วยเหตุนี้ศาสนาอิสลามจึงได้ยกเลิกขนบธรรมเนียมและประเพณีของชาวอาหรับบางส่วนในด้านการครองเรือน การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ

         ที่มาของกฎหมายอิสลามในช่วงแรกนี้จำกัดอยู่ใน 2 ประการคือ คัมภีร์อัลกุรฺอาน และสุนนะฮฺทั้ง 2 ประการนี้ได้วางรากฐานสำหรับกฎหมายอิสลามในรูปของหลักมูลฐานต่าง ๆ โดยทั่วไปตลอดจนกฎเกณฑ์พื้นฐานต่าง ๆ และจากหลักมูลฐานและกฎเกณฑ์พื้นฐานดังกล่าว นักปราชญ์ทางศาสนาก็ได้วิเคราะห์หลักการที่มีรายละเอียดซึ่งจะกลายเป็นประมวลหลักนิติธรรมอิสลามในยุคต่อมาไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดในการจัดระเบียบทางสังคม, เศรษฐกิจ, ระบอบรัฐศาสตร์ หลักการในการประกอบศาสนกิจและการมีปฏิสัมพันธ์ในรูปธุรกรรมต่าง ๆ
         และในช่วงแรกนี้ สามารถแบ่งเป็น 2 ระยะคือ
        1) ระยะเวลาเกือบ 13 ปี ณ นครมักกะฮฺ ซึ่งชาวมุสลิมเป็นชนส่วนน้อยในนครมักกะฮฺ มีความอ่อนแอและถูกกดขี่ มุสลิมมิได้มีส่วนร่วมในการปกครองรัฐมักกะฮฺซึ่งมีชนชั้นปกครองที่เป็นพวกตั้งภาคี เหตุนี้โองการต่าง ๆ ในคัมภีร์อัลกุรฺอานที่เรียกกันว่าโองการมักกียะฮฺตลอดจนบรรดาหะดีษของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) จึงมิได้กล่าวถึงการจัดระเบียบการปกครองและหลักการที่ว่าด้วยธุรกรรมต่าง ๆ ยกเว้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
        หากแต่ได้เน้นในการอธิบายถึงหลักการยึดมั่นและหลักศรัทธาของศาสนาและเรียกร้องเชิญชวนสู่การให้เอกภาพต่อพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) การขัดเกลาจิตใจและวิพากษ์ความเชื่อของพลเมืองมักกะฮฺที่ยึดติดกับการตั้งภาคีและขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีบ่อเกิดจากอวิชชา ส่วนการประกอบศาสนกิจในระยะแรกที่มีบัญญัติเอาไว้ก็คือเรื่องการละหมาดเท่านั้น

         2) ระยะเวลาราว 10 ปีในนครม่าดีนะฮฺซึ่งเริ่มต้นภายหลังการอพยพ (ฮิจเราะฮฺ) ของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) และเหล่าสาวกจากนครมักกะฮฺสู่นครมาดีนะฮฺ โดยชาวมุสลิมได้สถาปนารัฐอิสลามขึ้น ณ นครม่าดีนะฮฺและมีโครงสร้างของรัฐอันประกอบด้วยพลเมือง คือ ผู้อพยพที่เรียกว่า มุฮาญิรูนและชาวเมืองม่าดีนะฮฺที่เรียกว่า อันศ๊อร ตลอดจนชาวยิวและชนอาหรับกลุ่มอื่น ๆ มีดินแดนคือ นครม่าดีนะฮฺและเขตปริมณฑล และมีระบอบการปกครองทางรัฐศาสตร์และการเมือง ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจการบริหาร และอำนาจทางตุลาการรวมอยู่ในประมุขสูงสุดของรัฐ คือท่านนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) 
         ทั้งนี้ท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) ได้มีพันธสัญญาที่เรียกว่า อัศศ่อฮีฟะฮฺ ซึ่งเป็นปฏิญญาที่พลเมืองของม่าดีนะฮฺยอมรับร่วมกันทุกฝ่ายโดยมีสถานะเฉกเช่น รัฐธรรมนูญ ตามคำนิยามของนักวิชาการร่วมสมัย ในระยะที่ 2 นี้เองประมวลกฎหมายอิสลามที่เป็นแม่บทในด้านต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการศาสนาและทางโลกได้ถูกกำหนดวางอย่างเป็นกิจจะลักษณะและมีความครบถ้วนสมบูรณ์

         (2)  ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม ซึ่งเริ่มต้นนับแต่การสิ้นชีวิตของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) จนถึงการล่มสลายของอาณาจักรอัลอุม่าวียะฮฺ (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750) ทางด้านการเมืองนั้นครอบคลุมยุคสมัยของบรรดาค่อลีฟะฮฺผู้ทรงธรรม (ฮ.ศ.11-41/ค.ศ.632-661) และยุคของอาณาจักรอัลอุม่าวียะฮฺ (ฮ.ศ.41-132/ค.ศ.661-750)
         ส่วนทางด้านกฎหมายอิสลามนั้นรวมเอาสมัยของเหล่าสาวก, ชนรุ่นตาบิอีนและตาบิอิตตาบิอีนซึ่งเรียกรวม ๆ ว่ายุคสะลัฟ ซอลิฮฺ ในช่วงเวลาที่ 2 นี้มีการพัฒนาทางสังคม, เศรษฐกิจ, ความคิดและการเมืองที่ส่งผลต่อพัฒนาการของกฎหมายอิสลาม และมีการวิเคราะห์อย่างทุ่มเททางสติปัญญาที่เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด” ปรากฏขึ้นอันนำไปสู่การปรากฏขึ้นของหลักฐานในการชี้ขาด 2 ประการ คือ อัล-อิจญ์มาอฺและอัล-กิยาส ตลอดจนระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺก็ปรากฏชัดในฐานะระบอบการปกครองทางรัฐศาสตร์อิสลามอีกด้วย

         ส่วนหนึ่งจากพัฒนาการที่เด่นชัดในช่วงเวลานี้คือ
         1. ศาสนาอิสลามแผ่ปกคลุมดินแดนของรัฐอิสลามที่มีอาณาเขตทางทิศตะวันออกจรดประเทศจีน มหาสมุทรอินเดีย และเขตตอนกลางของแอฟริกาทางทิศใต้ จรดมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก และมีอาณาเขตทางตอนเหนือครอบคลุมทะเลสาบแคสเปียน, ทะเลดำ และหมู่เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถึงภาคใต้ของฝรั่งเศสและคาบสมุทรไอบีเรีย (สเปน)
         2. ภาษาอาหรับมีความแพร่หลายและกลายเป็นภาษาทางราชการและวิชาการในศาสตร์แขนงต่าง ๆ
         3. มีความตื่นตัวในการแปลตำรับตำราจากภาษาอื่น ๆ เป็นภาษาอาหรับและมีการสร้างผลงานทางวิชาการในศาสตร์แขนงต่าง ๆ
         4. บรรดาสาวกและชนรุ่นตาบิอีนได้กระจายไปตั้งหลักแหล่งในหัวเมืองต่าง ๆ ที่ถูกพิชิตนับแต่ยุคของค่อลีฟะฮฺ อุษมาน (ร.ฎ.) อันเป็นผลทำให้เกิดเมืองแห่งวิชาการตามมา อาทิเช่น เมืองกูฟะฮฺ, เมืองบัศเราะฮฺ, เมืองฟุสฏ็อฏ และนครแบกแดด เป็นต้น
         5. เกิดกลุ่มสำนักทางความคิดหลากหลาย อาทิเช่น กลุ่มอัล-คอวาริจญ์, กลุ่มชีอะฮฺ, กลุ่มมุรญิอะฮฺและกลุ่มมุอฺตะซิละฮฺ เป็นต้น

         (3) ช่วงของความสุกงอมและความสมบูรณ์ ซึ่งเริ่มต้นนับแต่การสถาปนาอาณาจักรอัลอับบาซียะฮฺ (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750) และสิ้นสุดลงด้วยการปิดประตูแห่งการอิจญ์ติฮาดในตอนปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช อันนับเป็นยุคทองของกฎหมายอิสลาม ในช่วงนี้มีการรวบรวมและจดบันทึกหะดีษของท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) และกฎหมายอิสลาม ตลอดจนมีการปรากฏขึ้นของบรรดาสำนักกฎหมายอิสลามซึ่งเรียกว่า “มัซฮับ” อันได้แก่
         1. มัซฮับฮะนะฟีย์ อ้างถึงอิหม่ามอบูฮะนีฟะฮฺ อันนุอฺมาน อิบนุ ซาบิต (ฮ.ศ.70-150) ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายอิสลามที่เปิดกว้างในด้านการใช้ทัศนะและหลักของเหตุผลในการวิเคราะห์ตัวบททางศาสนา
         2. มัซฮับมาลิกีย์ อ้างถึงอิหม่ามมาลิก อิบนุ อะนัส อิบนิ อบีอามิร (ฮ.ศ.95-179) ซึ่งเป็นนักปราชญ์แห่งนครม่าดีนะฮฺในแคว้นอัล-ฮิญาซฺและเป็นนักวิชาการสายหะดีษ
         3. มัซฮับชาฟิอีย์ อ้างถึงอิหม่ามอบูอับดิลลาฮฺ มุฮัมมัด อิบนุ อิดรีส อัชชาฟิอีย์ (ฮ.ศ.150-204) มัซฮับชาฟิอีย์มีแนวทางสายกลางที่รอมชอมระหว่างการใช้ทัศนะและการยึดถือตัวบท
        4. มัซฮับฮัมบะลีย์ อ้างถึง อิหม่ามอะฮฺหมัด อิบนุ ฮัมบัล อัชชัยบานีย์ (ฮ.ศ.164-241) เป็นสำนักกฎหมายอิสลามที่ยึดถือตัวบทอย่างเคร่งครัดและไม่ยอมรับการใช้ทัศนะเหมือนอย่างมัซฮับฮะนะฟีย์
มัซฮับฮะนะฟีย์ เป็นที่นิยมแพร่หลายในกลุ่มประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอุษมานียะฮฺแห่งตุรกีตลอดจนกลุ่มประเทศมุสลิมในเอเชียกลางและเอเชียใต้ ส่วนมัซฮับมาลิกีย์นั้นเป็นที่นิยมในหมู่พลเมืองในแอฟริกา ทั้งแอฟริกาเหนือ แอฟริกาตะวันออกและตะวันตก ในขณะที่มัซฮับชาฟิอีย์ เป็นที่นิยมของพลเมืองมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เยเมน และอียิปต์ เป็นต้น ส่วนมัซฮับฮัมบะลีย์นั้นถือเป็นมัซฮับอย่างเป็นทางการในประเทศซาอุดิอาระเบียและมีผู้นิยมน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับมัซฮับอื่น ๆ


         (4) ช่วงของการถือตาม (อัต-ตักลีด) ซึ่งเริ่มต้นนับแต่การปิดประตูแห่งการอิจญ์ติฮาด ในตอนปลายศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช และดำเนินเรื่อยมาจวบจนทุกวันนี้ ในด้านการเมือง โลกอิสลามในช่วงที่ 4 นี้แตกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย มีกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่มิใช่อาหรับเข้ามามีอำนาจผลัดเปลี่ยนกัน อาทิเช่น ชาวเติร์ก (ตุรกี), ชาวเปอร์เซีย (อิหร่าน) เป็นต้น
         และเนื่องจากมุสลิมขาดความสามัคคีและเอกภาพทำให้ดินแดนของชาวมุสลิมตกอยู่ใต้อาณัติของกลุ่มประเทศตะวันตกที่ล่าเมืองขึ้น โดยเฉพาะภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรอุษมานียะฮฺ แห่งตุรกี ที่มีการประกาศยกเลิกระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺในปีค.ศ.1924
         ผลจากการล่าเมืองขึ้นของกลุ่มประเทศตะวันตก กฎหมายอิสลามโดยส่วนใหญ่ได้ถูกยกเลิกและมีการนำกฎหมายตะวันตกเข้ามาใช้ทดแทนจวบจนในช่วงหลังมานี้ ได้มีการเรียกร้องให้กลุ่มประเทศมุสลิมที่ได้รับเอกราชจากกลุ่มประเทศตะวันตกเริ่มหันมาให้ความสำคัญในการฟื้นฟูกฎหมายอิสลามและนำเอากฎหมายอิสลามมาบังคับใช้อีกครั้ง ซึ่งกระแสการเรียกร้องดังกล่าวได้เริ่มขึ้นนับแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา

        ความสำคัญของกฎหมายอิสลาม
        กฎหมายอิสลามมีอัล-กุรอานและอัล-หะดีษเป็นแม่บทที่สมบูรณ์ครบถ้วน และเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิตของมุสลิม โดยประมวลกฎหมายอิสลามได้กำหนดภารกิจของมนุษย์ที่มีต่อพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) หน้าที่ต่อตัวเองและหน้าที่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และมีเป้าหมายในการพิทักษ์คุ้มครองสิ่งสำคัญ 5 ประการ คือ (1) ศาสนา (2) ชีวิต (3) สติปัญญา (4) เชื้อสายโลหิต และ (5) ทรัพย์สิน

        หากเราพิจารณากฎหมายอิสลามอย่างกว้าง ๆ ในแง่ความสำคัญแล้วพอจะกล่าวได้ดังนี้ คือ
        (1) กฎหมายอิสลามเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตที่มุสลิมทุกคนจำต้องยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด ทั้งนี้การปฏิบัติตามกฎหมายอิสลามมีผลทำให้ปัจเจกบุคคลมีความเป็นปกติสุขและทำให้สังคมโดยรวมเกิดความสันติสุข
        (2) กฎหมายอิสลามได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ส่วนบุคคลและสิทธิประโยชน์ส่วนรวมเอาไว้อย่างมีดุลยภาพและครบถ้วน ชัดเจน มีความเป็นธรรมและสมเหตุสมผล ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัย
        (3) กฎหมายอิสลามได้จัดระเบียบสังคมทุกระดับโดยเป็นไปตามครรลองที่ถูกต้องและเป็นธรรมทั้งในด้านสังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง และการปกครองและมุ่งพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย